วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561

ภาษาถิ่นโคราช


ภาษาถิ่นโคราช

ความหมายของภาษาถิ่น
ภาษาไทยถิ่น หมายถึง ภาษาที่ใช้พูดติดต่อสื่อสารตามท้องถิ่นต่าง ๆ  สื่อความหมายให้เข้าใจท้องถิ่นนั้น ๆ  ซึ่งแต่ละท้องถิ่นอาจพูดแตกต่างกันไปตามภาษาไทยมาตราฐาน ทั้งด้านออกเสียงคำและการเรียงคำบ้าง แต่ความหมายคงเดิม
ภาษาถิ่นในจังหวัดนครราชสีมา
จังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดที่มีกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มอาศัยอยู่จึงทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมมากมาย ทั้งด้านความเป็นอยู่ การแต่งกาย การละเล่น ประเพณี ความเชื่อ รวมถึงการใช้ภาษา แม้ในปัจจุบันจะมีบางกลุ่มชาติพันธุ์ที่เริ่มจะถูกกลืนไปบ้าง แต่ในสำนึกของกลุ่มคนชาติพันธุ์ดั้งเดิมนั้นก็ตระหนักเห็นความสำคัญในวัฒนธรรมของตนของบรรพบุรุษและพยายามที่จะอนุรักษ์ให้คงอยู่คู่กับชุมชน ดังเช่น ภาษาถิ่น อาทิ ภาษาไทยโคราช ภาษาไทยลาว ภาษามอญ ภาษาไทยยวน และภาษาชาวบน เป็นต้น
ภาษาโคราช
ภาษาโคราชเป็นภาษาพูดของกลุ่มวัฒนธรรมไทโคราชที่โดดเด่นที่สุดบางครั้งไทโคราชจะถูกเรียกว่า ไทเบิ้ง หรือ ไทดา ซึ่งคนโคราชไม่ค่อยพอใจนัก คำว่า เบิ้ง มีความหมายเดียวกับ บ้าง เดิ้ง ดา มีความหมายเดียวกับ ด้วย ภาษาโคราชมีลักษณะของการผสมผสานระหว่างภาษาไทยกลาง ภาษาอีสานและภาษาเขมร คำศัพท์พื้นฐานจะเป็นภาษาไทยกลางที่มีสำเนียงเพี้ยนไปจากเดิม เช่น อะไร เพี้ยนเป็น ไอ หรือ แมงไอ หรือ ไอ๋ หรือ ไอเยอ คำว่า ดูเถอะ เพี้ยนเป็น ดูท๊วะ แต่กระนั้นภาษาโคราชก็มีลักษณะเฉพาะของตนเอง ดังนี้
๑. คำศัพท์ภาษาโคราช พูดถึงวงศ์ศัพท์หรือคำศัพท์ภาษาโคราชเป็นคำศัพท์ที่น่าจะผสมมาจากภาษาไทยกลาง ภาษาอีสาน ภาษาเขมร เกิดเป็นคำศัพท์ที่ใช้เฉพาะกันในโคราช เช่น ฝนละลึม หมายถึง ฝนตกปรอยๆ เดินดีๆ ระวังจะต๊กตะลุก ตะลุก หมายถึง หลุมเล็กๆ ซึ่งเป็นคำศัพท์ภาษาเขมร เอาของไปเมี่ยน คำว่า เมี่ยน เป็นภาษาอีสาน หมายถึง เก็บ บางทีพูดว่า เก๊บมั่ก เก๊บเมี่ยน
๒. สำเนียงโคราช เสียงหรือสำเนียงภาษาโคราช เป็นสำเนียงที่แปร่งๆ หรือเพี้ยนไปจากเสียงหรือสำเนียงภาษาไทยกลาง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดสำหรับผู้พูดภาษาไทยกลาง
ภาษาไทยกลาง ออกเสียงตรี ภาษาโคราชออกเสียงโท ตัวอย่างเช่น
ม้า เป็น ม่า                             ช้า เป็น ช่า
ค้า เป็น ค่า                             ชู้ เป็น ชู่
 
ภาษาไทยกลาง ออกเสียงโท ภาษาโคราชออกเสียงเอก ตัวอย่างเช่น
หน้า เป็น หน่า                        ข้า เป็น ข่า
คอยท่า เป็น คอยถ่า              หนี้ เป็น หนี่
ภาษาไทยกลางออกเสียงสามัญ(อักษรกลาง) ภาษาโคราชออกเสียงสามัญหรือจัตวา ตัวอย่างเช่น
กิน เป็น กิน หรือ กิ๋น
๓. สำนวนภาษาโคราช เมื่อพูดถึงคำศัพท์และเสียงแล้ว ส่วนที่ ๓ คือ สำนวน ถ้าไม่พูดถึงก็คงไม่ครบถ้วน สำนวนภาษาเป็นคำพูดที่กลั่นกรองขึ้นมาให้งดงามและสละสลวย เพื่อเป็นเครื่องมือในการเตือนสติหรือสั่งสอนอบรมทำให้มีคุณค่าทางด้านวัฒนธรรมทั้งด้านรูปธรรม คือแสดงภาพการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย และด้านนามธรรม คือ การอบรมสั่งสอนคุณธรรม จริยธรรม แก่ลูกหลาน ความงดงามสะสวยนั้นอาจมีเสียงสัมผัสหรือไม่มีเสียงสัมผัสก็ได้
คุณค่าของภาษาถิ่น
ฐาปะนีย์ นาครทรรพ. (๒๕๔๗ : ๖๕-๗๑) กล่าวถึงคุณค่าของภาษาถิ่นไว้เพียง ๔ ประการ คือ
๑. คุณค่าด้านการสื่อสาร ในเมื่อคนในท้องถิ่นเดียวกันพูดภาษาถิ่นเหมือนกัน การสื่อสารก็ดำเนินไปได้ด้วยดี จะพูดอะไรก็รู้เรื่องและเข้าใจดีด้วยเหตุที่ภาษาถิ่นช่วยรักษาความบริสุทธิ์ของภาษาไว้ คือบริสุทธิ์ในด้านการออกเสียงและในด้านการใช้ภาษาสื่อสารให้ตรงความหมาย ภาษาถิ่นจึงมีประโยชน์มากในการช่วยวินิจฉัยความหมายของศัพท์โบราณในวรรณคดี ทำให้การสื่อสารของคนในอดีตมาสู่คนในปัจจุบันดำเนินไปได้โดยสะดวก และคนรุ่นหลังสามารถอ่านหนังสือต่าง ๆ ของคนสมัยก่อนรู้เรื่อง
๒. คุณค่าด้านจริยธรรม ภาษาถิ่นมีคุณค่าในฐานะเป็นการสื่อสารสำหรับสอนจริยธรรม แก่ผู้เยาว์ เพื่อจะได้เรียนรู้คำสอนต่างๆ ที่สืบทอดมาจากบรรพชนภาษาถิ่นได้ช่วยรักษา คำสอนต่างๆ ไว้ทั้งทางโลกและทางธรรม ข้อนี้จะเห็นได้จากการที่แต่ละภาคมีนิทานชาดก หรือนิทานแฝงคติธรรม สุภาษิต วรรณกรรมคำสอน ทั้งที่เป็นมุขปาฐะ คือคำบอกเล่าด้วยปาก และที่เป็นวรรณกรรมลายลักษณ์อักษร สิ่งเหล่านี้จะมีคำสอนสอดแทรกอยู่ด้วย เช่น แหล่ทำขวัญนาค ฮีตสิบสองคลองสิบสี่ เป็นต้น
๓. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ กวีในท้องถิ่นแต่ง หรือสร้างสรรค์กวีนิพนธ์ประเภทต่างๆ เช่น ทางภาคเหนือก็มีค่าวซอจ๊อย โคลงนิราศหริภุญไชย (วรรณคดีเรื่องเดิมนี้ เดิมกวีแต่งเป็นภาษาถิ่นเหนือ ต่อมามีกวีทางภาคกลางในกรุงศรีอยุธยาได้เปลี่ยนถ้อยคำในโคลงเรื่องนี้เป็นภาษากลาง) ลิลิตพระลอวรรณกรรมเรื่องนางประทุมสังกากาพย์เจี้ย เรื่อง จามเทวี และ วิรังคะ ของอาจารย์ไกรสีห์ นิมมานเหมินทร์ ฯลฯ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็มีนิทานพื้นบ้านเรื่อง อุษา-บารส นิทานเรื่องก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เพลงหมอลำ นิทานก้อมคำสอนสุภาษิตอีสาน ผญาภาษิตอีสาน ฯลฯ ทางภาคใต้มีกฤษณาสอนน้อง คำฉันท์ของพระภิกษุอินทร์ บทละครเรื่องมโนราห์ วรรณกรรมเรื่องวันคาร สุทธิกรรม นิพพานโสตรา บทกาพย์ หนังละลุง เพลงบอกของรัตนธัชมุนี เรื่องสัจจศาลาเป็นต้น
๔. คุณค่าด้านคติชนวิทยา คติชนมีความหมายครอบคลุมเรื่องราวของชาวบ้านหลายอย่าง เช่น ความเชื่อ ประเพณี เพลงกล่อมเด็ก ปริศนาคำทาย นิทาน ฯลฯ ภาษาถิ่นได้ช่วยสืบทอดสิ่งเหล่านี้ ทั้งโดยทางวรรณกรรมมุขปาฐะและวรรณกรรมลายลักษณ์อักษร สิ่งที่น่าสนใจมากสำหรับผู้เขียน คือ ภาษิตสำนวนไทย เพลงพื้นบ้าน และปริศนาคำทาย ซึ่งใช้ภาษาถิ่นของแต่ละภาคแต่งขึ้น หากได้นำตัวอย่างสิ่งเหล่านี้มาพิจารณา จะเห็นได้ว่ามีภูมิปัญญาแฝงอยู่มากทีเดียว ให้ดำรงอยู่ตลอดไป เพราะภาษาถิ่นมีส่วนช่วยรักษาความหมายของเก่า ๆ ที่ใช้ในวรรณคดีไว้ได้มาก